คนธรรมดาที่สามารถหยุดสงคราม ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา

คนธรรมดาที่สามารถหยุดสงคราม ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา


คำพูดของผู้ชายที่ชื่อ ดิดิเยร์ ดร็อกบา นำพาให้สันติภาพก่อตัวขึ้นในแผ่นดินไอวอรี่ โคสต์ หลังจากที่มีสงครามกลางเมืองมายาวนานถึง 10 ปี ชายผู้ที่ไม่มีพลังวิเศษอะไร เขามีเพียงความพยายามและแรงศรัทธา ที่ต้องการจะใช้กีฬาฟุตบอลเพื่อหยุดสงครามในประเทศบ้านเกิด ประเทศที่เขารักให้กลับมามีสันติภาพอีกครั้ง อย่างที่เขาต้องการอยากจะให้เป็น


ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เกิดขึ้น ณ กรุงอบิดจาน เมืองหลวงทางเศรษฐกิจของประเทศไอวอรีโคสต์ ในปี ค.ศ 1978 ท่ามกลางปัญหาทางเศรษฐกิจภายในประเทศ พ่อและแม่ของเขาจึงตัดสินใจส่งเขาไปปารีสในขณะที่เขาอายุเพียงแค่ 5 ขวบ เพื่อไปอยู่กับคุณลุงซึ่งในตอนนั้นยังเป็นเพียงนักเตะดาวรุ่งอยู่ในทีมลีครองของประเทศฝรั่งเศส ไม่ใช่นักเตะโด่งดังที่มีเงินถุงเงินถังอะไร เวลาผ่านไป 3 ปี ลุงของเขายอมแพ้และตัดสินใจส่งเขากับไปหาพ่อแม่ที่ประเทศบ้านเกิดอีกครั้งในวัย 8 ขวบ ฝั่งพ่อแม่ของเขาอาจจะไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ที่ลูกชายต้องกลับมาลำบากที่ประเทศบ้านเกิด แต่ในหัวใจของเด็กชายดิดิเย่ร์นั้นเต็มไปด้วยความโหยหาและดีใจที่จะได้กลับมายังประเทศที่เขารัก แต่ความสุขนั้นแสนสั้น เมื่อเขาอยุ 11 ขวบ เขาก็ต้องถูกส่งมาอยู่กับลุงที่ฝรั่งเศสอีกด้วยเหตุผลที่ว่า ธุรกิจของประเทศมันพังไม่เป็นท่า ครั้งนี้เขาต้องเข้าเรียน และก็เริ่มเตะบอลไปด้วยในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือจุดเริ่มต้น


ดิดิเยร์ ดร็อกบา โตขึ้นมาเรื่อย ๆ พร้อมกับฝีเท้าของเขาที่พัฒนาตามอายุจนในปีค.ศ. 2002 เขาก็ได้กลายมาเป็นนักเตะของทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ ความฝันที่เขาจะได้กลับบ้านเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ระยะเวลามันตั้ง 10 ปี อะไรที่นั่นก็เปลี่ยนแปลงไปหมด เมืองที่เขาโหยหากลับกลายเป็นเมืองที่มีสงครามแย่งชิงอำนาจกลางเมือง ซึ่งเกิดจากกลุ่มของ โลร็อง บักโบ กับกลุ่มของ อลาสซาน ออตตารา ที่ในตอนนั้นเป็นคู่แข่งทางการเมืองกัน ส่งผลให้พื้นถนนตอนนี้เต็มไปด้วยรถถังที่แต่ละฝ่ายนำออกมาเพื่อใช้ห้ำหั่นหมายจะเอาชีวิตสุดท้ายหัวใจเขาแตกสลาย


เวลาผ่านไปเหตุการณ์บ้านเมืองเลวร้ายลงสวนทางกับฝีเท้าของเขาที่พัฒนาขึ้น เขาย้ายจากทีมเล็ก ๆ อย่าง เลอ มองส์ ไปอยู่กับ แก็งก็อง และ มาร์กเซยตามลำดับ จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตเขาก็คือการกลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัว 24 ล้านปอนด์ของทีมเชลซี ทีมในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ และในตอนนี้เองเสียงของเขาเริ่มดังขึ้น


ในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2005 ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา นำทัพทีมชาติไอวอรี โคสต์ ตะลุยฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกจนนัดสุดท้ายได้บุกไปเอาชนะทีมชาติซูดานด้วยสกอร์ 3 - 1 นั่นคือตั๋วที่นำพาทีมชาติของเขาเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพในปี 2006 ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 


และคำพูดทุก ๆ คำที่ออกมาจากปากของชายที่ชื่อ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ในวันนั้นคือความตั้งใจจะใช้โอกาสที่แสนพิเศษนี้ เป็นลำโพงส่งเสียงของเขา ไปยังผู้คนที่รบราฆ่าฟันกันทั้งสองฝ่ายให้ได้ยิน นั่นคือการส่งเสียงครั้งแรกที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้ดีมาก ๆ


ถัดมาอีก 3 ปี ที่เกมส์แอฟฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ปี 2008 ใกล้เข้ามา ทีมชาติไอวอรี่ โคสต์มีลงเตะรอบคัดเลือกกับ มาดาร์กัสการ์ ซึ่งปกติจะต้องแข่งที่กรุงอบิดจาน ในประเทศไอวอรี่ โคสต์ แต่ครั้งนี้ดร็อกบาเลือกที่จะไปเจรจากับ สมาพันธ์ฟุตบอลแอฟริกา เพื่อขอย้ายที่ไปเตะในเมืองบูอาเก้ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏเก่า และยังไม่พอ ดร็อกบาได้เจรจาเชิญให้นายบักโบ ให้มาชมการแข่งขันนัดนี้ และก็เขาอีกนั่นแหละที่เจรจากับกลุ่มกบฎของนายออตตารา เพื่อรับรองความปลอดภัย เขาจัดการให้ศัตรูที่พร้อมจะรบกันตลอดระยะเวลา 10 ปีให้มาเผชิญหน้ากัน


เมื่อถึงวันนัดหมายภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าคือภาพที่ 2 ผู้นำฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสนามฟุตบอลแห่งเดียวกันและเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 2 อุดมการณ์มีจุดประสงค์เดียวกันก็คือ ต้องการให้ ทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ ชนะในนัดนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดของผู้คนที่หวาดระแวงว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดนี้ขึ้นหรือไม่ มีสุภาพบุรุษอยุ่ท่านเดียวที่ยืนกอดอกและมีสีหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ และมั่นใจอย่างแน่วแน่ว่าในครั้งนี้ความพยายามของเขาต้องบรรลุอย่างแน่นอน


"การได้เห็นผู้นำทั้งสองฝั่งเคียงข้างและจับมือกันพร้อมกับร้องเพลงชาติถือเป็นเรื่องที่พิเศษมาก ไอวอรี่ โคสต์ ได้ตื่นขึ้นจากเรื่องร้าย ๆ เเล้ว" ดร็อกบา ตอบกับ เดอะ เทเลกราฟ สื่อดังจากอังกฤษ ที่เดินทางมาสัมภาษณ์เขาถึงกรุงอบิดจานถึงเหตุการณ์ในวันนั้น


และนี่ก็คือเรื่องของกีฬาฟุตบอลที่เป็นมากกว่าการแข่งขัน นอกจากจะสร้างความสามัคคีเพราะต้องเล่นกันเป็นทีม กีฬาชนิดนี้ยังสามารถสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้ด้วย และดิดิเยร์ ดร็อกบา ก็คือบุคคลที่มีความรักและศรัทธาในสิ่งเหล่านี้มากกว่าใคร ๆ เพราะเขาเป็นหนึ่งในคนที่เชื่อมั่นและเดินหน้าทำจนมันเกิดผลสำเร็จ.


ดูข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ : Goalstorm




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เด็กไทยในแดนกระทิงดุ ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว